19 มกราคม 2555

การบวกเลขแบบใช้สายตาทำให้คิดเลขเร็วขึ้น

      แทนที่เราต้องมานั่งบอกว่า หนึ่งบวกสอง เท่ากับสาม ให้เราพูดว่า หนึ่ง สองสามแทน หรือสี่ บวกเจ็ดเท่ากับสิบเอ็ด ก็ให้พูดว่า สี่ เจ็ด สิบเอ็ด .. ด้วยวิธีการนี้ถ้าเราฝึกหัดบ่อยๆ จะทำให้เราบวกเลขได้เร็วยิ่งขึ้น

      เมื่อตอนเด็กราวๆ ป.6 เวลานั่งรถไปไหนก็ตาม ก็จะนั่งมองที่ป้ายทะเบียนรถยนต์ แล้วก็บวกเลขทั้งสี่ตัวด้านขวานั้น ยิ่งรถขับเร็วเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องบวกเลขให้ทันหรือจะให้สนุกขึ้นก็แข่งบวกเลขกับคนข้างๆ ก็สนุกดี หรือว่าเวลาขึ้นรถเมล์ ก็เอาตั๋วรถเมล์นี่แหละ มาลองบวกดูว่าได้เท่าไหร่ .. เท่านั้นยังไม่พอ ถ้าใครเคยดูรายการ IQ180 ก็จะพบวิธีการเล่นเกมอย่างนึงคือการเอาเครื่องเครื่องหมายบวกลบคูณหารมาผสมกับเลขห้าตัวที่อยู่บนตั๋ว แล้วให้ได้ผลลัพธ์เท่ากับอีกสองตัวที่เหลือ อย่างตัวอย่างนี้ ก็ มีตัวเลข 89347 ทำยังไงถึงได้ค่าเท่ากับ 59 .. เฉลยคือ (8+7)*4 – (root 9 / 3) = (15*4) – (3/3) = 60 – 1 = 59

………………………………………………………………………………………………………………………………….

การบวกเลข 1 ถึงจำนวนที่ต้องการ

จำสูตรนี้ไปใช้ได้เลย คือ n * (n+1)/2

ตัวอย่าง บวกเลข 1 ถึง 10 ก็จะได้ 10 * (10 + 1)/2 = 10 * 11/2 = 5 * 11 = 55

ลองดูนี่ก่อน

1 ถึง 100

1 ถึง 1000

………………………………………………………………………………………………………………………………….

การบวกเลขตั้งแต่เลขอะไรก็ได้ถึงเลขอะไรก็ได้

อย่าเพิ่งงงค่ะ .. ตัวอย่างเช่น 5 ถึง 10 วิธีง่ายๆ ก็ทำเหมือน 1 ถึง 10 นั่นล่ะครับ แล้วลบออกด้วย 1 ถึง 4 ก็จะได้

(10 * (10+1)/2) – (4 * (4+1)/2) ….. ง่ายมั้ยล่ะครับ

ลองดูนี่ก่อน

40 ถึง 100

200 ถึง 1000

………………………………………………………………………………………………………………………………….

การคูณด้วย 10, 100 หรือ 1000

ก็เพียงแค่เอาเลขศูนย์ไปต่อท้าย เช่น 4 * 100 ก็แค่เลขสี่แล้วต่อท้ายด้วยศูนย์อีกสองตัว ก็ได้เป็น 400

ลองดูนี่ก่อน

128 * 10

132 * 100

………………………………………………………………………………………………………………………………….

การคูณด้วย 11

ให้เติม 0 ท้ายตัวตั้ง 1 ตัว แล้วเอาตัวเดิมบวกเข้าไป เช่น 389 * 11 = 3890 + 389 = 4279

ลองดูนี่ก่อน

22 * 11

453 * 11

………………………………………………………………………………………………………………………………….

การคูณด้วย 25

ให้เติม 0 ท้ายตัวตั้ง 2 ตัว แล้วหารด้วย 4 เช่น 349 * 25 = 349 * 100/4 = 34900/4 = 8725

ลองดูนี่ก่อน

4 * 25

25 * 25

………………………………………………………………………………………………………………………………….

การคูณเลขที่เป็นจำนวนเดียวกันและหลักหน่วยรวมกันได้ 10

มีสองขั้นนะครับ .. ขั้นแรกให้เอาหลักหน่วยคูณกันก่อน แล้วขั้นที่สองก็เอาเลขหลักสิบที่เหมือนกันบวกหนึ่ง แล้วคูณกับตัวเอง

เช่น 46 * 44 ก็ให้เอา 5 * 5 ก่อน (ซึ่งเป็นเลขหลักหน่วย) ได้ 24 เก็บไว้ขวาสุดหรือเขียนไว้ก่อนเลยก็ได้ .. ส่วนเลข 4

ก็ให้บวกเข้าไปอีกหนึ่ง ได้ 5 แล้วเอากลับไปคูณ 4 อีกทีก็จะได้เท่ากับ 20 เพราะฉะนั้นก็เอา 20 กับ 24 มาต่อกันก็จะได้

2024 … ง่ายๆ แค่นี้เอง ลองฝึกบ่อยๆ ดูแล้วจะจำได้เองครับ

ลองดูนี่ก่อน

25 * 25

37 * 33

117 * 113

………………………………………………………………………………………………………………………………….

การคูณเลขเมื่อหลักหน่วยเท่ากันและหลักสิบรวมกันได้ 10

เช่น 76 * 36 จะมีอยู่สองขั้นเหมือนกัน คือเอาหลักหน่วยคูณกันก่อน ได้ 36 แล้วเอาหลักสิบคูณกันบวกด้วยหลักหน่วย

ในที่นี้คือ 7 * 3 ได้เท่ากับ 21 แล้วนำไปบวกอีก 6 จะได้เท่ากับ 27 แล้วก็เอาผลลัพธ์สองตัวมาต่อกัน ก็จะได้เท่ากับ 2736

ลองดูนี่ก่อน

44 * 64

88 * 28

95 * 15



เลขยกกำลัง


เลขยกกำลังหมายถึงการคูณตัวเลขนั้นๆ ไปตามจำนวนของเลขชี้กำลัง
ตัวอย่างเลขยกกำลัง

จากภาพทาด้านบนจะพบว่าตัวแปร a ต้องคูณตัวเองตามจำนวนของ n
เพราะฉะนั้น 23 = 2x2x2 = 8
(-3)3=(-3)x(-3)x(-3) = 81
1.13=1.1x1.1x1.1=1.331 ฯลฯ
จะเห็นได้ว่าตัวเลขจะต้องคูณตัวมันเอง ตามจำนวนของเลขชี้กำลัง ส่วนตัวเลข 3 เดี่ยวๆนั้นจะยกกำลัง 1 ดังนั้น 31 = 3 ถ้าคุณเข้าใจแล้วก็ลองไปยังหัวข้องต่อไปทางซ้ายมือ






การคูณเลขยกกำลัง

กรุณาสังเกตุเลขต่อไปนี้
32x34=(3x3)x(3x3x3x3)=3x3x3x3x3x3x3=37
87x82=(8x8x8x8x8x8x8)x(8x8)=8x8x8x8x8x8x8x8x8=89
1.53x1.52=(1.5x1.5x1.5)x(1.5x1.5)=1.5x1.5x1.5x1.5x1.5=1.55
เราจะพบว่า ถ้า a3xa3=(axaxa)x(axaxa)=axaxaxaxaxa=a3+3=a6 ซึ่งหมายความว่า เมื่อนำเลขยกกำลังที่มีฐาน(ตัวเลข)เหมือกัน จะได้ผลลัพธ์เป็นเลขเดิมแต่นำเลขชี้กำลังมารวมกันซึ่งทำให้
(5B)(25B2) = 53B3


การหารเลขยกกำลัง
เมื่อเรานำเลขยกกำลังหนึ่งไปหารเลขยกกำลังอีกจำนวนหนึ่งจะได้ผลดังนี้
54/53=(5x5x5x5)/(5x5x5)=5
3.25/3.22=(3.2x3.2x3.2x3.2x3.2)/(3.2x3.2)=3.23
แต่ทุกคนได้รู้ว่า "ไม่ใช้ศูนย์เป็นตัวหาร" ดังนั้นเลขยกกำลังที่หารนั้น "ต้องมีฐานที่ไม่ใช่ศูนย์" แต่ถ้า
23/23=(2x2x2)/(2x2x2)=1
ดังนั้น 20=2
a0=1 และ a ไม่ใช่ 0

เลขชี้กำลังน้อยกว่าหนึ่ง
สังเกตภาพข้างล่าง
ดังนั้น 23 - 25 = 23-5 = 2-2 = 1/22 ซึ่งแสดงว่า a-n = 1/an




เลขยกกำลังที่มีฐานเป็นเลขยกกำลัง
(32)3 เป็นเลขยกกำลังที่มี 32 เป็นฐานและมี 3 เป็นเลขชี้กำลัง เพราะฉะนั้น (32)2 = 32 x 32 = 36 = 33x2
(-43)5 เป็นเลขยกกำลังที่มี -43 เป็นฐานและมี 5 เป็นเลขชี้กำลัง เพราะฉะนั้น (-43)5 = -43 x -43 x -43 x -43 x -43= -45 = -43x5
ดังนั้นเราสามารถสรุปได้ว่า (am)n = am.n เมื่อ a ไม่ใช่ 0
นอกจากนี้เรายังสามารถคูณเลขยกกำลังหลายๆจำนวนได้เช่น
(72X3Y4)2 = (72X3Y4) x (72X3Y4) = (74X6Y8) = (7(2)(2)X(3)(3)Y(4)(4))



เลขยกกำลังแสดงจำนวน
จำนวนที่มีค่ามากหรือมีค่าน้อยๆ นิยมเขียนในรูป A x 10n เมื่อ a มากกว่า 1 และน้อยกว่า 10 เช่น
157,000,000 = 157 x 106 = 1.57 x 102 x 106 = 1.57 x 108
0.00075 = 75/100000 = 7.5 x 10/106 = 7.5 x 10 x 10-6 = 7.5 x 105

17 มกราคม 2555

ทฤษฎีบทปีทาโกรัส

           ในวิชาคณิตศาสตร์ ทฤษฎีบทพีทาโกรัส แสดงความสัมพันธ์ใน เรขาคณิตแบบยุคลิด ระหว่างด้านทั้งสามของสามเหลี่ยมมุมฉาก ทฤษฎีนี้ ถูกตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่พีทาโกรัส นักคณิตศาสตร์ชาวกรีก แม้ว่าความจริงแล้ว ทฤษฎีได้มีการคิดค้นไว้ก่อนหน้าที่เขาจะมีชีวิตอยู่ โดยชาว อินเดีย, ชาวกรีก, ชาวจีน และ ชาวบาบิโลน



วิธีพิสูจน์ทฤษฎีบทพีทาโกรัสของเลโอนาร์โด ดา วินชี

วิธีพิสูจน์ทฤษฎีบทพีทาโกรัสของเลโอนาร์โด ดา วินชี

ทฤษฎีบท

ทฤษฎีบทพีทาโกรัส กล่าวไว้ว่า
"ผลรวมของพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบนด้านประชิดมุมฉากทั้งสอง จะเท่ากับ พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบนด้านตรงข้ามมุมฉาก"
ภาพ:Pythagorean.svg
         

จากรูป จะสังเกตว่า ผลรวมของพื้นที่ของสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินและสีแดง จะเท่ากับ พื้นที่ของสี่เหลี่ยมสีม่วง เราสามารถเขียนทฤษฎีบทนี้ให้อยู่ในรูป สมการ

c2 = a2 + b2
โดยที่ a และ b เป็นความยาวด้านประชิดมุมฉากทั้งสองของสามเหลี่ยมมุมฉาก และ c เป็นความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก
วิธีการพิสูจน์อีกแบบแสดงได้ดังรูปด้านล่าง


ภาพ:Pythagorean_proof.png


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://blog.eduzones.com/dena/3747

15 มกราคม 2555

การบวกเลขแบบใช้สายตาทำให้คิดเลขเร็วขึ้น

 
 
แทนที่เราต้องมานั่งบอกว่า หนึ่งบวกสอง เท่ากับสาม ให้เราพูดว่า หนึ่ง สองสามแทน หรือสี่ บวกเจ็ดเท่ากับสิบเอ็ด ก็ให้พูดว่า สี่ เจ็ด สิบเอ็ด .. ด้วยวิธีการนี้ถ้าเราฝึกหัดบ่อยๆ จะทำให้เราบวกเลขได้เร็วยิ่งขึ้นครับ
เมื่อตอนเด็กราวๆ ป.6 เวลาผมนั่งรถไปไหนก็ตาม ก็จะนั่งมองที่ป้ายทะเบียนรถยนต์ แล้วก็บวกเลขทั้งสี่ตัวด้านขวานั้น ยิ่งรถขับเร็วเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องบวกเลขให้ทันหรือจะให้สนุกขึ้นก็แข่งบวกเลขกับคนข้างๆ ก็สนุกดี หรือว่าเวลาขึ้นรถเมล์ ก็เอาตั๋วรถเมล์นี่แหละครับ มาลองบวกดูว่าได้เท่าไหร่ .. เท่านั้นยังไม่พอ ถ้าใครเคยดูรายการ IQ180 ก็จะพบวิธีการเล่นเกมอย่างนึงคือการเอาเครื่องเครื่องหมายบวกลบคูณหารมาผสมกับเลขห้าตัวที่อยู่บนตั๋ว แล้วให้ได้ผลลัพธ์เท่ากับอีกสองตัวที่เหลือ อย่างตัวอย่างนี้ ก็ มีตัวเลข 89347 ทำยังไงถึงได้ค่าเท่ากับ 59 .. เฉลยคือ (8+7)*4 – (root 9 / 3) = (15*4) – (3/3) = 60 – 1 = 59
………………………………………………………………………………………………………………………………….
การบวกเลข 1 ถึงจำนวนที่ต้องการ
จำสูตรนี้ไปใช้ได้เลย คือ n * (n+1)/2
ตัวอย่าง บวกเลข 1 ถึง 10 ก็จะได้ 10 * (10 + 1)/2 = 10 * 11/2 = 5 * 11 = 55
ลองดูนี่ก่อน
1 ถึง 100
1 ถึง 1000
………………………………………………………………………………………………………………………………….
การบวกเลขตั้งแต่เลขอะไรก็ได้ถึงเลขอะไรก็ได้
อย่าเพิ่งงงครับ .. ตัวอย่างเช่น 5 ถึง 10 วิธีง่ายๆ ก็ทำเหมือน 1 ถึง 10 นั่นล่ะครับ แล้วลบออกด้วย 1 ถึง 4 ก็จะได้
(10 * (10+1)/2) – (4 * (4+1)/2) ….. ง่ายมั้ยล่ะครับ
ลองดูนี่ก่อน
40 ถึง 100
200 ถึง 1000
………………………………………………………………………………………………………………………………….
การคูณด้วย 10, 100 หรือ 1000
ก็เพียงแค่เอาเลขศูนย์ไปต่อท้าย เช่น 4 * 100 ก็แค่เลขสี่แล้วต่อท้ายด้วยศูนย์อีกสองตัว ก็ได้เป็น 400
ลองดูนี่ก่อน
128 * 10
132 * 100
………………………………………………………………………………………………………………………………….
การคูณด้วย 11
ให้เติม 0 ท้ายตัวตั้ง 1 ตัว แล้วเอาตัวเดิมบวกเข้าไป เช่น 389 * 11 = 3890 + 389 = 4279
ลองดูนี่ก่อน
22 * 11
453 * 11
………………………………………………………………………………………………………………………………….
การคูณด้วย 25
ให้เติม 0 ท้ายตัวตั้ง 2 ตัว แล้วหารด้วย 4 เช่น 349 * 25 = 349 * 100/4 = 34900/4 = 8725
ลองดูนี่ก่อน
4 * 25
25 * 25
………………………………………………………………………………………………………………………………….
การคูณเลขที่เป็นจำนวนเดียวกันและหลักหน่วยรวมกันได้ 10
มีสองขั้นนะครับ .. ขั้นแรกให้เอาหลักหน่วยคูณกันก่อน แล้วขั้นที่สองก็เอาเลขหลักสิบที่เหมือนกันบวกหนึ่ง แล้วคูณกับตัวเอง
เช่น 46 * 44 ก็ให้เอา 5 * 5 ก่อน (ซึ่งเป็นเลขหลักหน่วย) ได้ 24 เก็บไว้ขวาสุดหรือเขียนไว้ก่อนเลยก็ได้ .. ส่วนเลข 4
ก็ให้บวกเข้าไปอีกหนึ่ง ได้ 5 แล้วเอากลับไปคูณ 4 อีกทีก็จะได้เท่ากับ 20 เพราะฉะนั้นก็เอา 20 กับ 24 มาต่อกันก็จะได้
2024 … ง่ายๆ แค่นี้เอง ลองฝึกบ่อยๆ ดูแล้วจะจำได้เองครับ
ลองดูนี่ก่อน
25 * 25
37 * 33
117 * 113
………………………………………………………………………………………………………………………………….
การคูณเลขเมื่อหลักหน่วยเท่ากันและหลักสิบรวมกันได้ 10
เช่น 76 * 36 จะมีอยู่สองขั้นเหมือนกัน คือเอาหลักหน่วยคูณกันก่อน ได้ 36 แล้วเอาหลักสิบคูณกันบวกด้วยหลักหน่วย
ในที่นี้คือ 7 * 3 ได้เท่ากับ 21 แล้วนำไปบวกอีก 6 จะได้เท่ากับ 27 แล้วก็เอาผลลัพธ์สองตัวมาต่อกัน ก็จะได้เท่ากับ 2736
ลองดูนี่ก่อน
44 * 64
88 * 28
95 * 15
 
ที่มา : http://www.mathhousetutor.com/index.php?mo=3&art=402594

11 มกราคม 2555

ประวัติความเป็นมาของคณิตศาสตร์


สมัยบาบิโลนและอียิปต์

ในสมัย 5,000 ปีมาแล้ว ชาวบาบิโลน (อยู่ในประเทศอิรักทุกวันนี้) และชาวอียิปต์รู้จักเขียนสัญลักษณ์แทนจำนวน รู้จักเลข เศษส่วน รู้จักใช้ลูกคิดบวก ลบ คูณ หารตัวเลข ความรู้เกี่ยวกับจำนวนได้นำมาใช้ในการติดต่อค้าขาย การเก็บภาษี การรู้จักทำปฏิทิน และการรู้จักใช้มาตรฐานเกี่ยวกับเวลา เช่น 1 ปีมี 365 วัน 1 วันมี 24 ชั่วโมง 1 ชั่วโมงมี 60 นาที 1 นาทีมี 60 วินาที ความรู้ทางเรขาคณิต เช่น การวัดระยะทาง การวัดมุม นำมาใช้ในการก่อสร้างและการรังวัดที่ดิน เขาสนใจคณิตศาสตร์ในด้านนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เท่านั้น




สมัยกรีกและโรมัน

ในสมัย 2,600 ปีถึง 2,300 ปีที่แล้ว ชาวกรีกได้รับความรู้ทางคณิตศาสตร์จากชาวอียิปต์และชาวบาบิโลน ชาวกรีกเป็นนักคิดชอบการใช้เหตุผล เขาเห็นว่าคณิตศาสตร์ไม่เป็นแต่เพียงเกร็ดความรู้ที่ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เท่านั้น เขาจึงได้วางกฎเกณฑ์ทำให้คณิตศาสตร์กลายเป็นวิชาที่มีเหตุผล มีการพิสูจน์ให้เห็นจริง เป็นวิชาที่น่ารู้ไว้เพิ่มพูนสติปัญญา นักคณิตศาสตร์ที่สำคัญในสมัยนี้ คือ
เธลีส (Thales ประมาณ 640-546 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นนักปรัชญา นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ชาวกรีก เป็นคนแรกที่คำนวณหาความสูงของพีระมิดในอียิปต์โดยใช้เงา เขาได้ทำนายว่าจะเกิดสุริยคราสล่วงหน้าซึ่งได้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 42 ปี รู้จักพิสูจน์ทฤษฎีบททางเรขาคณิต เช่น เส้นผ่านศูนย์กลางจะแบ่งครึ่งวงกลม มุมที่ฐานของรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วเท่ากัน และมุมในครึ่งวงกลมเป็นมุมฉาก เป็นต้น




ปีทาโกรัส (Pythagoras ประมาณ 580-496 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกเป็นผู้ริเริ่มตั้งโรงเรียนสอนวิชาคณิตศาสตร์และปรัชญา ปีทาโกรัสและศิษย์สนใจเรื่องราวของจำนวนมาก เขาคิดว่าวิชาการต่างๆ และการงานแทบทุกชนิดของมนุษย์จะต้องมีจำนวนเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอ การเรียนรู้เรื่องของจำนวนก็คือการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ของธรรมชาตินั่นเอง



ยูคลิด (Euclid ประมาณ 450-380 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) นักคณิตศาสตร์ชาวกรีก ได้รวบรวมเรขาคณิตขึ้นเป็นตำราที่มีชื่อเสียงมาก เป็นการวางพื้นฐานการเรียนเรขาคณิตโดยกล่าวถึงจุด เส้นและรูป เช่น รูปสามเหลี่ยมและวงกลม จากข้อความที่ยูคลิดถือว่าเป็นจริงแล้วประมาณ 10 ข้อความ เช่น "มีเส้นตรงเพียงเส้นเดียวเท่านั้นที่ลากผ่านจุดสองจุดได้" เป็นต้น อาศัยการใช้เหตุผล ยูคลิดพบทฤษฎีบท (ข้อความที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง) ถึง 465 ทฤษฎีบท ตำราของยูคลิดกล่าวถึงทฤษฎีบท และการพิสูจน์ทฤษฎีบทเหล่านี้ โดยเริ่มจากทฤษฎีบทที่ง่ายที่สุด และค่อยๆ ยากขึ้นเป็นลำดับ นอกจากนี้ยูคลิดยังได้ศึกษาเกี่ยวกับจำนวนอีกด้วย








อาร์คีมีดีส (Archimedes ประมาณ 287-212 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) นักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ชาวกรีก สนใจการหาพื้นที่วงกลม ปริมาตรของทรงกระบอกและกรวย นักคณิตศาสตร์สมัยนี้รู้จักคำนวณอตรรกยะ เช่น และ (พาย) และสามารถคำนวณค่าโดยประมาณได้โดยใช้เศษส่วน อาร์คีมีดีสพบว่า มีค่าประมาณ วิธีการหาค่า (นำไปสู่การค้นพบวิชาแคลคูลัส นอกจากนี้อาร์คีมีดีส เคยประดิษฐ์ระหัดทดน้ำ พบกฎการลอยตัวและกฎเกณฑ์ของคานงัด และได้นำไปใช้ในการสร้างเครื่องผ่อนแรงสำหรับยกของหนัก
ส่วนชาวโรมัน สนใจคณิตศาสตร์ในด้านนำไปใช้ในการก่อสร้าง ธุรกิจและการทหาร ตัวเลขแบบโรมันเป็นดังนี้
เลขโรมัน I II III IV V VI VII VIII IX X C
เลขฮินดูอารบิค 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 100


สมัยกลาง

(ประมาณ พ.ศ. 1072-1979) อาณาจักรโรมันเสื่อมสลายลงในปี พ.ศ. 1019 ชาวอาหรับรับการถ่ายทอดความรู้ทางคณิตศาสตร์จากกรีก ได้รับความรู้เรื่องจำนวนศูนย์ และวิธีเขียนตัวเลขแบบใหม่จากอินเดีย ตัวเลข 1 2 3 4 5 6 7 8 9 0 ที่เราใช้กันทุกวันนี้ จึงมีชื่อว่า ฮินดูอารบิค ชาวอาหรับแปลตำราภาษากรีกออกเป็นภาษาอาหรับไว้มากมาย ทั้งทางดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์และแพทยศาสตร์

สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา

(ประมาณ พ.ศ. 1980-2143) สงครามครูเสดระหว่างชาวยุโรปกับชาวอาหรับ ซึ่งกินเวลาร่วม 300 ปี สิ้นสุดลง ชาวยุโรปเริ่มฟื้นฟูทางการศึกษา และมีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยกันขึ้น ชาวยุโรปได้ศึกษาวิชาคณิตศาสตร์จากตำราของชาวอาหรับ ในปี พ.ศ. 1983 คนรู้จักวิธีพิมพ์หนังสือ ไม่ต้องคัดลอกดังเช่นแต่ก่อน ตำราคณิตศาสตร์จึงแพร่หลายทั่วไป ชาวยุโรปแล่นเรือมาค้าขายกับอาหรับ อินเดีย ชวา และไทย ในปี พ.ศ. 2035 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus ประมาณ ค.ศ. 1451-1506) นักเดินเรือชาวอิตาเลียนแล่นเรือไปพบทวีปอเมริกาใน พ.ศ. 2054 ชาวโปรตุเกสเข้ามาค้าขายในกรุงศรีอยุธยา การค้าขายเจริญรุ่งเรือง ชาวโลกสนใจคณิตศาสตร์มากขึ้นเพราะใช้เป็นประโยชน์ได้มากในการค้าขายและเดินเรือ เราพบตำราคณิตศาสตร์ภาษาเยอรมัน พิมพ์ใน พ.ศ. 2032 มีการใช้เครื่องหมาย + และ - ตำราคณิตศาสตร์ที่แพร่หลายมากคือตำราเกี่ยวกับเลขาคณิต อธิบายวิธีบวก ลบ คูณ หารจำนวนโดยไม่ต้องใช้ลูกคิด การหารยาวก็เริ่มต้นมาจากสมัยนี้ และยังคงใช้กันอยู่ตราบเท่าปัจจุบัน นักดาราศาสตร์ใช้คณิตศาสตร์ในงานค้นคว้าเกี่ยวกับดวงดาวบนท้องฟ้า นิโคลัส คอเปอร์นิคัส (Nicolus Copernicus ค.ศ. 1473-1543) นักดาราศาสตร์ผู้อ้างว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์เกิดในสมัยนี้

การเริ่มต้นของคณิตศาสตร์สมัยใหม่

(ประมาณ ค.ศ. 2144-2343) เริ่มต้นประมาณแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยาจนถึงแผ่นดิน
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในรอบสองร้อยปี ต่อมาความเจริญทางด้านดาราศาสตร์ การเดินเรือ การค้า การก่อสร้าง ทำให้จำเป็นต้องคิดเลขให้ได้เร็วและถูกต้อง ในปี พ.ศ. 2157 เนเปอร์ จอห์น เนเปียร์ (Neper John Napier ค.ศ. 1550-1617) นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตได้ตีพิมพ์ผลงานเกี่ยวกับลอการิทึม ซึ่งเป็นวิธีคูณ หาร และการยกกำลังจำนวนมากๆ ให้ได้ผลลัพธ์ถูกต้องและรวดเร็ว ในที่สุดก็มีการประดิษฐ์บรรทัดคำนวณขึ้นโดยใช้หลักเกณฑ์ของลอการิทึม

นอกจากนี้ยังมีนักคณิตศาสตร์ที่สำคัญอีกคือ เรอเน เดส์การ์ตส์ (Rene Descartes ค.ศ. 1596-1650) พบวิชาเรขาคณิตวิเคราะห์ แบลส ปาสกาล (Blaise Pascal ค.ศ. 1623-1662) และปิแยร์ เดอ แฟร์มาต์ (Pierre de Fermat
ค.ศ. 1601-1665) พบวิชาความน่าจะเป็น ทั้งสามท่านนี้เป็นชาวฝรั่งเศส ปาสกาลได้รับการยกย่องว่าเป็นคนแรกที่ประดิษฐ์เครื่องคิดเลข เซอร์ ไอแซกนิวตัน (Sir Isaac Newton ค.ศ. 1642-1727) นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ และกอตต์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิตส์ (Gottfried Wilhelm Leibnitz ค.ศ. 1646-1716 นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน) พบวิชาแคลคูลัส ซึ่งเป็นวิชาที่นำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง การค้นพบวิชาแคลคูลัสในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และการค้นพบกฎทางวิทยาศาสตร์ของนิวตัน เช่น กฎของการเคลื่อนที่ ทฤษฎีของการโน้มถ่วงของโลก เป็นต้น นับเป็นความก้าวหน้าของวิทยาการสมัยใหม่ ผลงานของนักคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในสมัย 100 ปี ต่อมามุ่งไปในแนวใช้แคลคูลัสให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาคณิตศาสตร์ และวิชาฟิสิกส์แขนงต่างๆ

นักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนี้มี เลออนฮาร์ด ออยเลอร์ (Leonhard Euler ค.ศ. 1707-1783) ชาวสวิสผู้ให้กำเนิดทฤษฎีว่าด้วยกราฟ นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสมี โชแซฟ ลุยส์ ลากรองจ์ (Joseph Louis Lagrange ค.ศ. 1736-1813) ปิแยร์ ซิมง เดอ ลาปลาซ (Pierre Simon de Laplace ค.ศ. 1749-1827) ใช้แคลคูลัสสร้างทฤษฎีของกลศาสตร์ และกลศาสตร์ฟากฟ้าซึ่งเป็นพื้นฐานของวิศวกรรมศาสตร์ และดาราศาสตร์

สมัยปัจจุบัน

(ประมาณ พ.ศ. 2344-ปัจจุบัน) เริ่มประมาณแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย นักคณิตศาสตร์ในสมัยนี้สนใจในเรื่องรากฐานของวิชาคณิตศาสตร์ และตรรกศาสตร์ (วิชาว่าด้วยการใช้เหตุผล) นำผลงานของนักคณิตศาสตร์รุ่นก่อนมาวิเคราะห์ใคร่ครวญ สิ่งใดที่นักคณิตศาสตร์รุ่นก่อนเคยกล่าวว่าเป็นจริงแล้ว นักคณิตศาสตร์รุ่นนี้ก็นำมาคิดหาทางพิสูจน์ให้เห็นจริง ทำให้ความรู้ทางคณิตศาสตร์เดิมมีพื้นฐานมั่นคง มีหลักมีเกณฑ์ที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ว่า การคิดคำนวณต่างๆ ต้องทำเช่นนั้นเช่นนี้เพราะเหตุใด ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างคณิตศาสตร์แขนงใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นเพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน จะขอกล่าวถึงนักคณิตศาสตร์ และแขนงใหม่ของคณิตศาสตร์ในสมัยนี้พอสังเขป
คาร์ล ฟรีดริค เกาส์ (Carl Friedrich Gauss ค.ศ. 1777-1855) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน มีผลงานดีเด่นทางคณิตศาสตร์มากมายหลายด้าน ได้แก่ พีชคณิต การวิเคราะห์ทฤษฎีจำนวน การวิเคราะห์เชิงตัวเลข ความน่าจะเป็นและสถิติศาสตร์ รวมทั้งดาราศาสตร์และฟิสิกส์

นิโคไล อิวาโนวิช โลบาเชฟสกี (Nikolai Iwanowich Lobacheviski ค.ศ. 1792-1856) นักคณิตศาสตร์ชาวรุสเซีย และ จาโนส โบลไย
(Janos Bolyai ค.ศ. 1802-1860) นักคณิตศาสตร์ชาวฮังการี ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ให้กำเนิดวิชาเรขาคณิตนอกระบบยูคลิดในส่วนเรขาคณิตแบบไฮเพอร์โบลิก

นีลส์ เฮนริก อาเบล
(Niels Henrik Abel ค.ศ. 1802-1829) นักคณิตศาสตร์ชาวนอร์เวย์ มีผลงานในด้านพีชคณิตและการวิเคราะห์ เมื่ออายุประมาณ 19 ปี เขาพิสูจน์ได้ว่าสมการกำลังห้าที่มีตัวแปรตัวเดียวในรูปทั่วไป (ax5 + bx4 + cx3 + dx2 + ex + f = 0) จะไม่สามารถหาคำตอบโดยวิธีพีชคณิตได้เสมอไปเหมือนสมการที่มีกำลังต่ำกว่าห้า นอกจากนี้ยังมีผลงานอื่นๆ ในด้านทฤษฎีของอนุกรม อนันต์ ฟังก์ชันอดิศัย กลุ่มจตุรงค์ และฟังก์ชันเชิงวงรี

เซอร์ วิลเลียม โรแวน แฮมิลทัน (Sir William Rowan Hamilton ค.ศ. 1805-1865) นักคณิตศาสตร์ชาวไอริส มีผลงานในด้านพีชคณิต ดาราศาสตร์ และฟิสิกส์ ในปี ค.ศ. 1843 เขาได้สร้างจำนวนชนิดใหม่ขึ้นเรียกว่า ควอเทอร์เนียน เป็นจำนวนที่เขียนได้ในรูป a + bi + cj + dk โดยที่ a, b, c และ d เป็นจำนวนจริง i2 = j2 = k2 = ijk = -1ควอเทอร์เนียน มีคุณสมบัติต่างไปจากจำนวนธรรมดาสามัญ กล่าวคือไม่มีสมบัติการสลับที่ เมื่อพูดถึงจำนวน เรามักจะคิดว่า จำนวนตัวหน้าคูณจำนวนตัวหลัง จะได้ผลลัพธ์เท่ากับจำนวนตัวหลังคูณจำนวนตัวหน้า เขียนได้ในรูป ab = ba แต่ควอเทอร์เนียนไม่เป็นเช่นนั้น ij = k แต่ ji = -k แสดงว่า ij ji แฮมิลทันได้รับเกียรติว่าเป็นผู้ให้กำเนิดวิชาเมตริกร่วมกับ เจมส์ โจเซฟ ซิลเวสเทอร์ (James Joseph Sylvester ค.ศ. 1814-1897) และอาร์เทอร์ เคเลย์
(Arthur Cayley ค.ศ. 1821-1895) ทั้งสองท่านนี้เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ

แบร์นฮาร์ด รีมันน์
(Bernhard Riemann ค.ศ. 1826-1866) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน มีผลงานในด้านเรขา คณิต ทฤษฎีของฟังก์ชันวิเคราะห์ที่มีตัวแปรเป็นจำนวนเชิงซ้อน ทฤษฎีจำนวน ทฤษฎีศักย์ โทโปโลยี และวิชาฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์ เป็นผู้ให้กำเนิดวิชาเรขาคณิตแบบรีมันน์ ซึ่งเป็นรากฐานของทฤษฎีสัมพันธภาพสมัยปัจจุบัน

คาร์ล ไวแยร์สตราสส์
(Karl Weierstrass ค.ศ. 1815-1897) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน มีผลงานในด้านการวิเคราะห์ เป็นผู้นิยามฟังก์ชันวิเคราะห์ที่มีตัวแปรเป็นจำนวนเชิงซ้อนโดยใช้อนุกรมกำลัง สร้างทฤษฎีเกี่ยวกับฟังก์ชันเชิงวงรี และแคลลูลัสของการแปรผัน

จอร์จ บลู
(George Boole ค.ศ. 1815-1864) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษมีผลงานในด้านตรรกศาสตร์ พีชคณิต การวิเคราะห์ แคลลูลัสของการแปรผัน ทฤษฎีความน่าจะเป็น เป็นผู้ให้กำเนิดวิชาพีชคณิตแบบบูล

เกออร์จ คันเตอร์
(Georg Cantor ค.ศ. 1845-1917) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันเป็นผู้ริเริ่มนำเซตมาใช้ในการอธิบายเรื่องราวทางคณิตศาสตร์ และได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดี เป็นผู้ให้กำเนิดวิชาทฤษฎีเซต ความรู้เกี่ยวกับเซตทำให้เรา
ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับจำนวนจริงและจำนวนอนันต์เพิ่มขึ้น ต่อมานักคณิตศาสตร์อีกหลายท่านได้ช่วยกันปรับปรุงเรื่องเซตให้สมบูรณ์จนเป็นที่ยอมรับและนำไปใช้อย่างกว้างขวางในวิชาคณิตศาสตร์

โยเชียห์ วิลลาร์ด กิบส์
(Josiah Willard Gibbs) นักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกันมีผลงานในด้านวิชาฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์ และวิชากลศาสตร์เชิงสถิติ เป็นผู้ให้กำเนิดวิชาเวกเตอร์วิเคราะห์

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
(Albert Einstein ค.ศ. ๑๘๗๙-๑๙๕๕) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ใช้คณิตศาสตร์สร้างทฤษฎีสัมพันธภาพ เป็นเหตุให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเอกภพและสสารซึ่งเชื่อกันมาแต่เดิมเปลี่ยนแปลงไป ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน เช่น แขนงอิเล็กทรอนิกส์ ฟิสิกส์นิวเคลียร์และอวกาศ ต้องใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ประยุกต์แบบใหม่

จอห์น ฟอน นอยมันน์
(John Von Neumann ค.ศ. ๑๙๐๓-๑๙๕๗) นักคณิตศาสตร์ชาวฮังการี มีผลงานทั้งในด้านคณิตศาสตร์บริสุทธิ์ คณิตศาสตร์ประยุกต์และเศรษฐศาสตร์ เช่น ทฤษฎีควอนตัม ทฤษฎีคอมพิวเตอร์และการออกแบบคอมพิวเตอร์ กำหนดการเชิงเส้น กลุ่มจตุรงค์ต่อเนื่อง ตรรกศาสตร์ ความน่าจะเป็น เป็นผู้ให้กำเนิดทฤษฎีการเสี่ยง

คณิตศาสตร์แขนงใหม่ที่เกิดขึ้นในสมัยปัจจุบันได้แก่ทฤษฎีเซต กำเนิดเมื่อ พ.ศ. 2435 โทโพโลยี กำเนิดเมื่อ
พ.ศ. 2438 ทฤษฎีการเสี่ยง กำเนิดเมื่อ พ.ศ. 2474 และกำหนดการเชิงเส้น กำเนิดเมื่อ พ.ศ. 2490

คณิตศาสตร์เริ่มจากเป็นเกร็ดความรู้ที่มนุษย์นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตในสมัยสี่พันปีก่อนค่อยๆ มีกฎเกณฑ์ทวีเพิ่มพูนขึ้นตลอดมา คณิตศาสตร์เปรียบเหมือนต้นไม้ นับวันจะผลิดอกออกผลนำประโยชน์มาให้มนุษยชาติ มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยสนใจวิชาคณิตศาสตร์ การให้ความรู้ทางคณิตศาสตร์แก่เยาวชนของชาติ จึงมีความสำคัญอย่างมาก

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://guru.sanook.com/enc_preview.php?id=2414