06 กุมภาพันธ์ 2555

อนุกรม

บทนิยาม อนุกรม

ถ้า a1, a2, a3, …, an เป็น ลำดับจำกัด ที่มี n พจน์ จะเรียกการเขียนแสดงผลบวกของพจน์ทุกพจน์ของลำดับในรูป
a1 + a2 + a3 + … + an ว่า อนุกรมจำกัด
ทำนองเดียวกัน ถ้า a1, a2, a3, …, an, … เป็น ลำดับอนันต์ จะ เรียกการเขียนแสดงผลบวกในรูป
a1 + a2 + a3 + … + an + … ว่า อนุกรมอนันต์
1. ความหมายของอนุกรมและสัญลักษณ์แทนการบวก

กำหนด a1, a2, a3, … , an เป็นลำดับจำกัด

จะได้ a1 + a2 + a3 + … + an เป็นอนุกรมจำกัด
และ เมื่อ a1, a2, a3, …, an, … เป็นลำดับอนันต์
จะได้ a1 + a2 + a3 + … + an + … เป็นอนุกรมอนันต์
จากบทนิยาม จะได้ว่า อนุกรมจำกัดมาจากลำดับจำกัด และอนุกรมอนันต์มาจากลำดับอนันต์
จากอนุกรม a1 + a2 + a3 + … + an + …
เรียก a1 ว่าพจน์ที่ 1 ของอนุกรม
a2 ว่าพจน์ที่ 2 ของอนุกรม
a3 ว่าพจน์ที่ 3 ของอนุกรม
an ว่าพจน์ที่ n ของอนุกรม
2. ตัวอย่างของอนุกรม
1. 1 + 3 + 5 + 7 + … + 99 เป็น อนุกรมจำกัด
ที่ได้จากลำดับจำกัด 1, 3, 5, 7, …, 99
2. 1 + 2 + 4 + … + 2n-1 + … เป็น อนุกรมอนันต์
ที่ได้จากลำดับอนันต์ 1, 2, 4, …, 2n-1 , …
สัญลักษณ์แทนการบวก
เพื่อให้การเขียนอนุกรมสะดวกขึ้นจึงนิยมใช้อักษรกรีก (ซิกมา)
เป็น สัญลักษณ์แทนการบวก เขียนแทน a1 + a2 + a3 + … + an ด้วย
นั่นคือ = a1 + a2 + a3 + … + an
= a1 + a2 + a3 + … + a 10
เขียนแทน a1 + a2 + a3 + … + an + ... ด้วย
นั่นคือ = a1 + a2 + a3 + … + an + ...
บทนิยาม อนุกรมเรขาคณิต
อนุกรมที่ได้จากลำดับเรขาคณิต เรียกว่า อนุกรมเรขาคณิต และ อัตราส่วนร่วมของลำดับเรขาคณิต
จะเป็นอัตราส่วนร่วมของ อนุกรมเรขาคณิตด้วย
กำหนด a1, a1r, a1r2, …, a1r n-1เป็นลำดับเรขาคณิต
จะได้ a1 + a1r + a1r2 + … + a1r n-1เป็นอนุกรมเรขาคณิต
ซึ่งมี a1 เป็นพจน์แรก และ r เป็นอัตราส่วนร่วมของอนุกรมเรขาคณิต
จากบทนิยาม จะได้ว่า ถ้า a1, a2, a3, …, an เป็น ลำดับเรขาคณิต ที่มี n พจน์
จะเรียกการเขียนแสดงผลบวกของพจน์ทุกพจน์ของลำดับในรูป
a1 + a2 + a3 + … + an ว่า อนุกรมเรขาคณิต
และอัตราส่วนร่วมของลำดับเรขาคณิต จะเป็นอัตราส่วนร่วมของอนุกรมเรขาคณิตด้วย


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.snr.ac.th/elearning/suvadee/content2-2.htm



ลำดับ

บทนิยาม ฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็นเซตของจำนวนเต็มบวกที่เรียงจากน้อยไปมากโดยเริ่มตั้งแต่ 1 เรียกว่า ลำดับ

ถ้าฟังก์ชันเป็นลำดับที่มีโดเมนเป็น { 1, 2, 3, …, n } เรียกว่า ลำดับจำกัด

และถ้าฟังก์ชันเป็นลำดับที่มีโดเมนเป็น { 1, 2, 3, … } เรียกว่า ลำดับอนันต์



1 ความหมายของลำดับ

ในการเขียนลำดับ จะเขียนเฉพาะสมาชิกของเรนจ์เรียงกันไป

กล่าวคือ ถ้า a เป็น ลำดับจำกัด จะเขียนแทนด้วย a1, a2, a3, …, an

และ ถ้า a เป็น ลำดับอนันต์ จะเขียนแทนด้วย a1, a2, a3, …, an, …

เรียก a1 ว่า พจน์ที่ 1 ของลำดับ

เรียก a2 ว่า พจน์ที่ 2 ของลำดับ

เรียก a3 ว่า พจน์ที่ 3 ของลำดับ

และเรียก an ว่า พจน์ที่ n ของลำดับ หรือพจน์ทั่วไปของลำดับ



2.ตัวอย่างของลำดับ

1) 4, 7, 10, 13 เป็น ลำดับจำกัด ที่มี

a1 = 4
a2 = 7
a3 = 10
a4 = 13
และ an = 3n + 1

2) – 2, 1, 6, 13, … เป็น ลำดับอนันต์ ที่มี

a1 = – 2
a2 = 1
a3 = 6
a4 = 13
และ an = n2 – 3

การเขียนลำดับนอกจากจะเขียนโดยการแจงพจน์แล้ว อาจจะเขียนเฉพาะพจน์ที่ n หรือพจน์ทั่วไปพร้อมทั้งระบุสมาชิกในโดเมน



ตัวอย่าง

1) ลำดับ 4, 7, 10, 13 อาจเขียนแทนด้วย



an = 3n + 1 เมื่อ n { 1, 2, 3, 4 }



2) ลำดับ – 2 , 1, 6, 13, … อาจเขียนแทนด้วย



an = n2 – 3 เมื่อ n เป็นจำนวนเต็มบวก



หมายเหตในกรณีที่กำหนดลำดับโดยพจน์ที่ n หรือพจน์ทั่วไป ถ้าไม่ได้ระบุสมาชิกในโดเมน ให้ถือว่าลำดับนั้นเป็น ลำดับอนันต์



3. ตัวอย่าง ลำดับต่อไปนี้เป็นลำดับจำกัด หรือ ลำดับอนันต์

ลำดับจำกัด เป็นลำดับที่มีโดเมนเป็นเซตของจำนวนเต็มบวก n พจน์แรก

ลำดับอนันต์ เป็นลำดับที่มีโดเมนเป็นเซตของจำนวนเต็มบวก

1) 6, 12, 18, 24, 30 เป็นลำดับจำกัด

2) 2, 4, 8, 16, …, , … เป็นลำดับอนันต์

3) an = 5n – 2 เมื่อ n { 1, 2, 3, …, 20 } เป็นลำดับจำกัด

4) เป็นลำดับอนันต์



5) an = n2 + 3 เป็นลำดับอนันต์



ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.snr.ac.th/elearning/suvadee/content1.htm


การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว




การแยกตัวประกอบของพหุนามที่มีดีกรีสองและมีตัวแปรเดียว ที่แต่ละพจน์มีสัมประสิทธิ์เป็นจำนวนเต็ม

ตัวอย่าง ของพหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว

3
x2+ 4x + 5 , 2x26x – 1 , x29 , y2+ 3y – 7 , -y2+ 8y


พหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว คือ พหุนามที่เขียนในรูป ax2 + bx + c เมื่อ a , b , c เป็นค่าคงตัวที่


a ≠ 0 และ x เป็นตัวแปร


1.2.1 การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว


ในรูป ax2 + bx + c เมื่อ a , b เป็นจำนวนเต็ม และ c = 0

ในกรณีที่
c = 0 พหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียวจะอยู่ในรูป ax2+ bx สามารถใช้สมบัติการแจกแจง


แยกตัวประกอบได้


ตัวอย่างที่ 1 จงแยกตัวประกอบของ x2 + 2x


วิธีทำ x2 + 2x = (x)(x) + (2)(x)


= x(x + 2)


ตัวอย่างที่ 2 จงแยกตัวประกอบของ 4x2 - 20x


วิธีทำ 4x2 - 20x = (4x)(x) - (4x)(5)


= 4x(x - 5)


ตัวอย่างที่ 3 จงแยกตัวประกอบของ -4x2 - 6x


วิธีทำ -4x2 - 6x = -2x(2x + 3)


หรือ -4x2 - 6x = 2x(-2x - 3)


ตัวอย่างที่ 4 จงแยกตัวประกอบของ -15x2 + 12x


วิธีทำ -15x2 + 12x = (3x)(-5x) + (3x)(4)


= 3x(-5x + 4)


หรือ -15x2 + 12x = (-3x)(-5x) - (-3x)(4)

= -3
x(5x - 4)



1.2.2 การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว


ในรูป ax2 + bx + c เมื่อ a = 1 , b และ c เป็นจำนวนเต็ม และ c 0


ในกรณีที่ a = 1 และ c ≠ 0 พหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว จะอยู่ในรูป x2 + bx + c

สามารถแยกตัวประกอบของพหุนามในรูปนี้ได้ โดยอาศัยแนวคิดจากการหาผลคูณของพหุนาม


ดังตัวอย่างต่อไปนี้


จากการหาผลคูณ ( x +2 )( x + 3 ) ดังกล่าว จะได้ขั้นตอนการแยกตัวประกอบของ x2 + 5x + 6


โดยทำขั้นตอนย้อนกลับ ดังนี้

x2 + 5x + 6 = x2 + (2 + 3)x + (2)(3) [ 2 + 3 = 5 และ (2) × (3) = 6 ]

=
x2 + (2x + 3x) + (2)(3)


= (x2 + 2x) + [3x + (2)(3)]

= (
x + 2)x + (x + 2)(3)


= (x + 2)(x + 3)


นั่นคือ x2 + 5x + 6 = (x + 2)(x + 3)

พิจารณาผลคูณของพหุนามต่อไปนี้


1. (x + 2)(x + 3) = (x + 2)(x) + (x + 2)(3)

= (
x2 + 2x)+ [3x + (2)(3)]


= x2 + (2x+ 3x) + (2)(3)


= x2 + (2+ 3)x + (2)(3)

=
x2 + 5x + 6


ดังนั้น แยกตัวประกอบของ x2 + 5x + 6 ได้ดังนี้ x2 + 5x + 6 = (x + 2)(x + 3)

ให้สังเกตว่า เราจะแยกตัวประกอบของ
x2+ 5x + 6 ได้ ถ้าเราสามารถหาจำนวนเต็มสองจำนวน


ที่คูณกันได้เท่ากับพจน์ที่เป็นค่าคงตัว คือ 6 และบวกกันได้เท่ากับสัมประสิทธิ์ของ x คือ 5


(x + 4)(x – 5) = (x + 4)(x) + (x + 4)(-5)

= (
x2 + 4x) + [(-5)x + (
4)(-5)]

=
x2 + [4x + (-5)x] + (
4)(-5)

=
x2 + [4 + (-5)] x + (
4)(-5)

=
x2 + (-1)x + (-20)


= x2 - x - 20

ดังนั้น แยกตัวประกอบของ
x2 - x - 20 ได้ดังนี้ x2 - x - 20 = (x + 4)(x – 5)


จากการหาผลคูณ (x + 4)(x -5) ดังกล่าว จะได้ขั้นตอนการแยกตัวประกอบของ x2- x – 20


โดยทำขั้นตอนย้อนกลับในทำนองเดียวกับข้อ 1. ดังนี้


x2- x – 20 = x2 + (-1)x + (-20)


= x2 + [4 + (-5)] x + (4)(-5) [4 + (-5) = -1 และ (4)(-5) = -20 ]

=
x2 + [4x + (-5)x] + (4)(-5)


= (x2 + 4x) + [(-5)x + (4)(-5)]


= (x + 4)x + (x + 4)(-5)


= (x + 4)[x + (-5)]


= (x + 4)(x -5)


นั่นคือ x2 - x - 20 = (x + 4)(x - 5)

ให้สังเกตเช่นเดียวกันว่า เราจะแยกตัวประกอบของ
x2- x –
20 ได้ ถ้าเราสามารถหาจำนวนเต็ม

สองจำนวนที่คูณกันได้เท่ากับพจน์ที่เป็นค่าคงตัวคือ -20 และบวกกันได้เท่ากับสัมประสิทธิ์ของ
x คือ -1


จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ถ้าเราต้องการแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง เช่น x2+ 6x + 8

เราจะต้องหาจำนวนเต็มสองจำนวนที่คูณกันได้ 8 และบวกกันได้ 6 ก่อน ดังนี้

เนื่องจาก
x2 + 6x + 8 = x2 + (2 + 4)x + (2)(4)


= x2 + (2x + 4x) + (2)(4)


= (x2 + 2x) + [4x + (2)(4)]


= (x + 2)x + (x + 2)(4)


= (x + 2)(x + 4)


นั่นคือ x2 + 6x + 8 = (x + 2)(x + 4)

ในกรณีทั่วไป เราสามารถแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองในรูป
x2 + bx + c เมื่อ b , c เป็นจำนวนเต็ม


และ c ≠ 0 ได้ ถ้าเราสามารถหา จำนวนเต็มสองจำนวนที่คูณกันได้เท่ากับพจน์ที่เป็นค่าคงตัวคือ c และบวกกันได้


เท่ากับสัมประสิทธิ์ของ x คือ b


ถ้าให้ m และ n เป็นจำนวนเต็มสองจำนวน ซึ่ง mn = c และ m + n = b


จะได้ว่า x2 + bx + c = (x + m)(x + n)





ตัวอย่างที่ 5 จงแยกตัวประกอบของ
x2 10x + 21


วิธีทำ เนื่องจาก (-3)(-7) = 21

และ (-3) + (-7) = -10


ดังนั้น x2 10x + 21 = [ x + (-3)][ x + (-7)]


นั่นคือ x2 10x + 21 = ( x -3 )( x -7 )

ตัวอย่างที่ 6 จงแยกตัวประกอบของ
x2 + 5x - 6


วิธีทำ เนื่องจาก (-1)(6) = - 6

และ (-1) + (6) = 5


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.ichat.in.th/bboy/topic-readid33335-page1

การแยกตัวประกอบโดยใช้สมบัติการแจกแจง


ถ้า a , b และ c แทนจำนวนเต็มใด ๆ แล้ว


a(b + c) = ab + ac หรือ (b + c)a = ba + ca


เราอาจเขียนสมบัติการแจกแจงข้างต้นใหม่เป็นดังนี้


ab + ac = a(b + c) หรือ ba + ca = (b + c)a


ถ้า a , b และ c เป็นพหุนาม เราก็สามารถใช้สมบัติการแจกแจงข้างต้นได้ด้วย และเรียก a ว่า


ตัวประกอบร่วมของ ab และ ac หรือตัวประกอบร่วมของ ba และ ca


พิจารณาวิธีการแยกตัวประกอบของ 15x2y – 18xy2 โดยใช้สมบัติการแจกแจงดังนี้


15x2y – 18xy2 = 3(5x2y – 6xy2) [3 เป็น ห.ร.ม. ของ 15 และ 18]

= 3
x(5xy 6y2) [x เป็นตัวประกอบร่วมของ 5x2y และ 6xy2]


= 3xy(5x – 6y) [y เป็นตัวประกอบร่วมของ5xy และ 6y2]


ดังนั้น 5x2y – 18xy2 = 3xy(5x – 6y)


ตัวอย่างที่ 1 จงแยกตัวประกอบของ 5xy + 6x2


วิธีทำ 5xy + 6x2 = (x)(5y) + (x)(6x)

=
x(5y + 6x)


ข้อสังเกต x เป็นตัวประกอบร่วมของ 5xy และ 6x2 ดึง x ที่เป็นตัวประกอบร่วมออกมา


ตัวอย่างที่ 2 จงแยกตัวประกอบของ 12y2z + 20yz


วิธีทำ 12y2z + 20yz = (4yz)(3y) + (4yz)(5)


= 4yz(3y + 5)

ข้อสังเกต 4
yz เป็นตัวประกอบร่วมของ 12y2z และ 20yz ดึง 4yz ที่เป็นตัวประกอบร่วมออกมา


ตัวอย่างที่ 3 จงแยกตัวประกอบของ 16x3y3 24x4y


วิธีทำ 16x3y3 24x4y = (8x3y)(2y2) – (8x3y)(3x)


= 8x3y(2y2 3x)


ข้อสังเกต 8x3y เป็นตัวประกอบร่วมของ 16x3y3 และ 24x4y ดึง 8x3y ที่เป็นตัวประกอบร่วมออกมา





ข้อควรระวัง

1. ตัวประกอบร่วมที่นำออกมานอกวงเล็บ


2. ต้องเป็นตัวประกอบร่วมที่มากที่สุด


3. ถ้ายังมีตัวประกอบเหลืออยู่ต้องนำออกมาให้หมด

4. ในการแยกตัวประกอบของพหุนามที่มีหลายพจน์อาจต้องใช้สมบัติการสลับที่ และสมบัติการเปลี่ยนหมู่


ประกอบด้วย นอกจากจะใช้สมบัติการแจกแจงแล้ว ดังตัวอย่างต่อไปนี้


ตัวอย่างที่ 4 จงแยกตัวประกอบของ ab -2ac + bc -2c2


วิธีทำ ab -2ac + bc -2c2 = (ab – 2ac) + (bc – 2c2)


= a(b – 2c) + c(b 2c)

= (
b – 2c)(a + c)


ดังนั้น ab -2ac + bc -2c2 = (b – 2c)(a + c)

ข้อสังเกต 1.
a , c เป็นตัวประกอบร่วม


2. b – 2c เป็นตัวประกอบร่วม


ตัวอย่างที่ 5 จงแยกตัวประกอบของ 5x2z – 3y + 5yz – 3x2


วิธีทำ 5x2z – 3y + 5yz – 3x2 = 5x2z – 3x2 + 5yz – 3y


= (5x2z – 3x2) + (5yz – 3y)


= x2(5z – 3) + y(5z – 3)

= (5
z – 3)(x2 + y)


ดังนั้น 5x2z – 3y + 5yz – 3x2 = (5z – 3) (x2 + y)


ข้อสังเกต 1. x2 , y เป็นตัวประกอบร่วม


2. 5z – 3 เป็นตัวประกอบร่วม


ตัวอย่างที่ 6 จงแยกตัวประกอบของ mr2 3mp + 15np – 5nr2


วิธีทำ mr2 3mp + 15np – 5nr2 = mr23mp – 5nr2+ 15np


= (mr23mp) – [(5n)r2– (3)(5n)p]


= m(r2 3p) – 5n(r2 3p)

= (
r2 3p)(m – 5n)


ดังนั้น mr2 3mp + 15np – 5nr2 = (r2 3p)(m – 5n)


ข้อสังเกต 1. m , 5n เป็นตัวประกอบร่วม


2. r2 3p เป็นตัวประกอบร่วม
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.ichat.in.th/bboy/topic-readid33335-page1